
S.T.A.R.S.
โพสต์: 468
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 18:26
ที่อยู่: 18 ถนน สิโรรส ซอยกญจนา 2 ตำบลสะเตงอำเภอเมือง จังหวัดยะลา 95000
Re: We are Soldier : สงครามสหายร่วมรบ Mission 8 “Turbulence”
เอาล่ะครับทีนี้ก็มาถึงเฉลยคำถามกันนะครับ
คำตอบก็คือถูกครับ!! ในช่วงนั้นทางเมืองท่าต่างๆของประเทศไทยได้ทำการรับมือกับกองทัพญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบกและหนึ่งในนั้นคือเมืองปัตตานีครับ กล่าวว่าในศึกครั้งนั้น
มีกองกำลังผสมกว่าสี่สิบนายทั้ง ทหาร ตำรวจ ยุวชนทหาร และชาวบ้านอาสาสมัครอีกจำนวนหนึ่งเข้าต้านการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่าสองกองร้อยตั้งแต่เช้าตรู่
จนถึงช่วงบ่าย ในศึกครั้งนี้มียุวชนทหารและตำรวจเสียชีวิตไปกว่าสิบนายและพลเรือนอาสาสมัครอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นยังรวมไปถึงขุนอิงคยุทธบริหารที่พลีชีพในการรบ
ครั้งนี้ด้วย ปัจจุบันอัฐิของขุนอิงคยุทธบริหาร ได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในค่ายอิงคยุทธบริหารบนยอดเขาและยังคงอยู่จวบจนปัจจุบัน
รางวัล : ปืน Glock 17 (เพราะมีคนตอบแค่คนเดียว)
*********************************************************
“การจู่โจมสถานที่การประชุมทางการทูตโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ในเบื้องต้นได้รับรายงานมาว่าหนึ่งในบุคคลที่หายสาปสูญไปคือ
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลทำให้สถานการณ์ทั้งหลายตึงเครียดมากขึ้นไปอีก เรายังไม่ได้รับรายงานใดๆนอกจากนี้...”
เหตุบุกโจมตีการประชุมทางการทูตของหลายประเทศทั่วโลกสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งโลก ทั้งสื่อและกองทัพต่างคาดเดาไปต่างๆนาๆถึงการโจมตีโดยกลุ่มทหารลึกลับกลุ่มนี้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้ความจริง...
“ท่าทางพวกมันจะลงมือเร็วกว่าเราไปก้าวหนึ่งนะไรลี่ย์ นายได้ข้อมูลอะไรมาไหม...” เสียงเรียบต่ำของชายที่นั่งอยู่กลางห้องมืดๆภายในห้องมีอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆมากมายวางอยู่เต็มไปหมด
ทั้งคอมพิวเตอร์ หน้าจอมอนิเตอร์และอื่นๆอีกมากมายล้วนแล้วแต่ทันสมัยแทบทุกชิ้น โทรทัศน์ภายในห้องกำลังเปิดไปที่ช่องข่าวฉุกเฉินของเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานนี้
“ครับผู้พันตอนนี้ข่าวกรองของเรางานมาแล้วครับพวกทหารที่หน่วยอารักขาของประเทศไทยจับเป็นมาได้คือทหารรับจ้างอิสระที่มีหมายจับอยู่มากกว่าสิบประเทศจากปานามา
ผมไม่แน่ใจว่าพวกนั้นถูกใครส่งมาแต่ที่แน่ๆคือพวกมันไม่ยอมคายเรื่องอะไรออกมานอกจากนี้ครับ” ไรลี่ย์ตอบหัวหน้าของตนเองขณะที่กำลังสาละวนกับการรัวแป้นพิมพ์
คำสั่งเป็นชุดเพื่อขุดหาข้อมูลที่อาจจะซุกซ่อนอยู่อย่างสุดความสามารถ
“หาต่อไปไรลี่ย์ มันต้องมีคนทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ที่ไหนสักที่นั่นล่ะ”
“เห... ท่าทางพวกนายกำลังสนุกอยู่นะขอฉันร่วมวงด้วยคนสิ...”
แกร๊ก!!
ฉับพลันปืนกระบอกหนึ่งในมือของชายร่างสูงที่เป็นหัวหน้าของไรลี่ย์ก็ถูกชักออกจากซองขึ้นมาจ่อใส่ร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องนี้
ดูจากภายนอกน่าจะมีอายุแค่ สิบแปดปลายๆ แม้ว่าจะเป็นแค่เด็กแต่สำหรับภายในศูนย์บัญชาการของหน่วยลับอย่างที่นี่แล้วก็ถือว่าเป็นภัยคุกคามได้ทั้งนั้น
“เธอมาทำอะไรที่นี่ซาจิฉันนึกว่าเธอถูกส่งไปที่ค่ายกวนตานาโมแล้วเสียอีก...” คำตอบที่ฟังดูเหมือนจะรู้จักกับหญิงสาวหลุดออกมาจากปากของชายร่างใหญ่คนนั้น
“ไม่เอาน่าแอร่อน เรื่องนั้นผ่านมาแล้วนายน่าจะลืมๆมันไปซะนะ...” หญิงสาวพูดพร้อมทั้งเดินย่างเท้าเข้ามาใกล้แต่แอร่อนก็ยังไม่ลดปืนลง แถมยังฟ้องผ่านทางสีหน้าว่า
ถ้าขืนยังขยับเข้ามาใกล้อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็พร้อมที่จะระเบิดหัวของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้โดยไม่ลังเล
“กับอาชญากรระดับโลกอย่างเธอไม่มีที่ให้ฉันไว้ใจหรอกนะซาจิ... ทีนี้บอกเหตุผลดีๆสักข้อที่จะทำให้ฉันไม่ระเบิดสมองเธอคาห้องนี้ซิ จะเอาแบบอ้อมค้อม
หรือจะแถๆไปเลยก็ได้แบบที่เธอถนัดน่ะนะ...” แอร่อนพูดเหมือนเป็นการยื่นคำขาดให้หญิงสาวนามซาจิอธิบายเรื่องทั้งหมดออกมา และจากน้ำเสียง
ท่าทางของแอร่อนมันบอกได้เลยว่าไม่ได้พูดเล่น
“แหมๆเย็นชาจังเลยนะกับแค่เพื่อนเก่าไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย....”
“หนึ่ง...” ชายร่างใหญ่เริ่มนับถอยหลังเพื่อเป็นการเตือนหญิงสาวว่าอย่าเล่นกับเขาแต่ท่าทางเธอจะไม่ใส่ใจเลย
“สุดถนนของสี่แยกแถวนี้มีร้านอาหารจีนอร่อยๆอยู่ด้วยฉันว่านายน่าจะลองไปกินดูนะจะได้ลำลึกถึงความหลังกันไง...”
“สอง...”
“ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนายเยอะแยะเลยทั้งเรื่องตอนอยู่ในคุก กับตอนที่โดนนายจับได้ครั้งนั้น....”
“ส....”
“แล้วก็เรื่องที่ๆรองประธานาธิบดีสหรัฐฯถูกจับไปไว้ที่ไหนด้วย หวังว่านายจะสนใจนะ...”
ประโยคที่ดังขึ้นก่อนการนับถอยหลังจะสิ้นสุดลงทำให้แอร่อนชะงักไปชั่วครู่เพราะสิ่งที่หญิงสาวร่างเล็กคนนี้พูดออกมานั้นเป็นข้อมูลที่เขาอยากได้มากที่สุด
นี่มันหมายความว่ายังไงกันทำไมซาจิถึงรู้ได้ทั้งที่พวกเขายังไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำ
“ไงทีนี้นายอยากจะไปกินอาหารจีนกับฉันแล้วรึยังล่ะ...” ซาจิถามกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่เจือความรู้สึกแปลกๆมาให้ด้วยอีกเล็กน้อยซึ่งแอร่อนรู้ดีกว่าหญิงสาวคนนี้กำลังเล่นละครประชดเขาอยู่
“เธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไง...”
“ก็ไม่รู้สินะ... บางทีถ้านายยอมออกไปกับฉันล่ะก็... ฉันอาจจะยอมให้ข้อมูลนั้นในระหว่างกินบะหมี่ก็ได้นะ...”
สายตาของแอร่อนที่มองมาทางซิจินั้นเต็มไปด้วยความระแวงในตัวหญิงสาวคนนี้เป็นที่สุด เขารู้ดีว่าหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังพูดประชดใส่เขาคนนี้ร้ายกว่าที่เห็นภายนอกมาก
บางทีข้อมูลที่เธออ้างว่ามีนี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยนักข้อมูลทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีค่าทั้งสิ้นคงต้องยอมตามน้ำไปก่อน
แอร่อนค่อยๆลดปืนในมือลงก่อนจะพูดออกมาเป็นการเตือนอย่างชัดเจน
“ก็ได้... ฉันยอมไปด้วยแต่ถ้าเธอโกหกหรือว่าเล่นตุกติกอะไรล่ะก็... ฉันจะเชือดร่างของเธอทีล่ะชิ้นๆทั้งเป็นเริ่มจากที่ข้อเท้าชัดเจนไหม...”
“ไอ้ย์! เซอร์!”
--------------------------------------------------
“Spectre Rescue”
November 9th - 23 :17 : 55
Major Aron “Death” Krixaris
Navy S.E.A.L Team 6 (Deep Agent)
Oil Platfrom , Russia
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ผมได้พบกับซาจิหนึ่งในอาชญากรตัวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยรับมือมา ผมก็ได้ตำแหน่งสถานที่ที่ท่านรองประธานาธิบดีถูกจับมาคุมตัวเอาไว้
โดยกองกำลังทหารรับจ้างที่ทำงานให้ใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้และพวกมันก็เลือกที่ได้ดีมาเสียด้วยดันเลือกที่แท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งของรัสเซียเป็นที่ซ่อน
แบบนี้เท่ากับว่าผมไม่สามารถยิงอะไรมั่วๆได้เลยขืนยิงพลาดไปโดนอะไรเข้ามีหวังได้ระเบิดทั้งตัวประกันพวกมันและตัวผมไปพร้อมๆกันในคราวเดียวแน่
“นี่มิสเตอร์เด็ธพูด... กำลังไปถึงพื้นที่เป้าหมาย...”
“ทราบแล้วมิสเตอร์เด็ธ ผมเพิ่งได้พิมพ์เขียวของแท่นขุดเจาะน้ำมันนั่นมา ทางที่คุณสามารถเข้าไปได้สะดวกที่สุดคือทางด้านใต้ของแท่นขุดเจาะตรงนั้น
สามารถใช้เป็นทางเชื่อมไปยังอาคารหลักได้...” ไรลี่ย์ตอบกลับผมมาหลังจากนั้น ท่าทางไอ้หนูนี่จะทำหน้าที่ได้ดีอีกตามเคยสามารถดึงพิมพ์เขียวของแท่นขุดเจาะ
จากบริษัทน้ำมันของรัสเซียมาได้ในเวลาไม่ถึงนาทีมันน่าแปลกที่ไอ้หนูคนนี้มีข้อมูลน้อยกว่าซาจิ
“ไรลี่ย์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง...”
“ผมสบายดีครับตอนนี้อยู่ในห้องส่วนตัวช่วยคุณทำงานนั่งโต๊ะหน้าเบื่ออยู่นี่ไง...”
“ฉันหมายถึงตอนนี้นายอยู่ห่างจากซาจิแค่ไหนแล้วตอนนี้เธออยู่ไหนด้วย” ผมรีบพุ่งประเด็นกลับไปหาซาจิในทันที ตอนนี้ผมเป็นห่วงเรื่องของซาจิมากกว่าภารกิจที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้เสียอีก
“ตอนนี้เธออยู่ในห้องขังของหน่วยเรา ผมให้แอนดี้กับลูคจับตาดูเธออยู่คงไม่มีอะไรหน้าวิตกครับ”
“อย่าประมาทล่ะไรลี่ย์คอยระวังยัยนั่นเอาไว้ด้วยถึงรัฐบาลสหรัฐฯจะรับรองเธอ แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจยัยนั่นอยู่ดี สั่งให้สองคนนั้นจับตาดูเธอทุกฝีก้าว ถ้ายัยนั่นหันหัวกี่ครั้งก็ให้นับด้วยถ้าจำเป็น...”
“นี่จะระแวงเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ ผมว่าเธอคนนั้นไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรนะลำพังเธอก็คงเป็นแค่เด็กสาวอายุพอๆกับผมแค่นั้นเองคุณคงรับมือได้อยู่แล้ว...”
“ก็ถึงได้บอกยังไงล่ะว่าอย่าประมาท ถึงจะเห็นอย่างนั้นแต่ที่จริงแล้วยัยนั่นอายุมากกว่านายตั้งสิบเจ็ดปีเชียว ถ้าเทียบกันแล้วยัยนั่นอายุสามสิบเจ็ด
ก็รุ่นเดียวกับแม่นายได้เลยล่ะ...” ผมอธิบายความจริงให้กับไรลี่ย์ที่อยู่ปลายสายไปและหลังจากนั้นไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ฟังเหมือนกับว่าจะมีเสียงของอะไรสักอย่าง
กระแทกกันดังลั่นผมเดาว่าคงเป็นเสียงของไรลี่ย์ที่ตกใจจนล้มตกจากเก้าอี้แหงๆหลังจากรู้อายุแท้จริงของซาจิเข้า
“วะ... ว่าไงนะครับ ละ...แล้วทำไมถึง...”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้สนใจกับภารกิจของพวกเราดีกว่าไอ้หนู” ผมรีบบอกปัดเพื่อเปลี่ยนประเด็นออกไปเพราะไม่อยากอธิบายให้เสียเวลา
ผมเองก็รู้ไม่ละเอียดนักในเรื่องนี้แต่เดาว่าคงเป็นเพราะการทำศัลยกรรมแหงๆขนาดคนแก่อายุเข้าวัยเกษียนยังดูหน้าเด็กได้ด้วยมีดผ่าตัดของหมอแล้วนับประสาอะไร
กับเรื่องแบบนี้ที่จะเป็นไปไม่ได้กัน
ผมต้องกลับมาเข้าเรื่องภารกิจกันต่อตอนนี้เท่าที่ดูเหมือนซาจิจะพูดถูกเรื่องสถานที่จริงๆเพราะเมื่อผมลองตรวจสอบรอบๆของแท่นขุดเจาะผมก็พบยามติดอาวุธหนักจำนวนมาก
เดินกันให้ควักอยู่บนนี้และท่าทางพวกนี้จะไม่ใช่ยามประจำที่นี่อีกด้วย ผมต้องหลบซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำกลางมหาสมุทรแห่งนี้ขณะที่อากาศเย็นๆทำให้มหาสมุทร
แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งถึงจะเป็นตอนกลางคืนแต่พวกยามก็ยังตรวจเข้มทุกระยะผมจึงยังแน่ใจไม่ได้
“ไรลี่ย์ฉันกำลังใช้กล้องโซน่าตรวจจำนวนข้าศึกนายช่วยนับจำนวนแล้วก็ตรวจสอบตำแหน่งของท่านรองฯด้วย” ผมพูดก่อนจะกดใช้งานกล้องโซน่าความถี่สูง
หนึ่งในผลงานชิ้นเยี่ยมของไรลี่ย์
ด้วยสิ่งนี้ผมสามารถมองเห็นจำนวนศัตรูที่ว่อนอยู่ที่นี่ทั้งหมดในเวลาไม่กี่วินาทีผ่านความมืดได้เหมือนการมองทะลุผ่านกำแพงและไม่มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่มองเห็น
ไรลี่ย์ยังปรับให้ตัวเขาสามารถมองเห็นได้เหมือนกับที่ผมเห็นแค่นี้ผมก็สามารถรู้จำนวนศัตรูและหาแผนจัดการได้ไม่ยากนักถือเป็นอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมที่ผมชอบมันเสียจริงๆ
“เอาล่ะครับผู้พันตอนนี้ผมนับจำนวนพวกมันได้สักยี่สิบคนเศษๆติดอาวุธหนักครบทั้งปืนกลสนับสนุน ปืนเล็กยาว ระเบิดครบชุดแต่ยังโชคดีที่มันไม่มีพวกแว่นมองกลางคืน
หรือพวกอุปกรณ์ตรวจจับราคาแพงๆ เซนเซอร์เตือนภัยก็ออกแบบมาหลวมๆจนผมสามารถพังมันได้ในสามวิ แต่ระวังพวกที่เฝ้าตัวประกันเอาไว้หน่อยพวกมันคงมี
กล้องมองกลางคืนด้วย”
“ขอบใจมากไรลี่ย์ จัดการตัดพวกเซนเซอร์ตรวจจับซะฉันจะเข้าไปแบบเงียบๆ นายแจ้งพวกหน่วยถอนตัวรึยัง”
“ผมแจ้งพวกเขาแล้ว ซีลทีมหกกำลังจะไปถึงที่นั่นในสิบนาทีพร้อมเฮลิคอปเตอร์ถอนตัวครับ แต่ว่าภารกิจนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเรามีตัวตนอยู่ ฉะนั้นคุณต้องรีบออกมา
ก่อนที่หน่วยซีลจะไปถึงที่นั่น”
“ทราบแล้ว... ดูสถานการณ์ด้วยเผื่อเกิดเรื่องอะไรนายจะได้ตัดสินใจถูก” ผมกดตัดการสื่อสารไปก่อนจะเริ่มมุ่งตรงไปยังฐานของแท่นขุดเจาะเพื่อเริ่มลงมือปฏิบัติการ
ผมดำน้ำบุกเข้ามาใกล้แท่นขุดเจาะอย่างเงียบเชียบโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว ถ้าพวกมันคนใดคนหนึ่งเกิดเห็นตัวผมเข้าการทำงานของผมคงได้ลำบากมากกว่าที่คาดเอาไว้แน่
การระวังตัวตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในภารกิจนี้
ร่างของผมค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหาบริเวณเสาหลักของแท่นขุดเจาะที่อยู่ใกล้ที่สุดคราวนี้ก็มีถึงอุปกรณ์อีกชิ้นนั่นคือถุงมือ Air Gloves อุปกรณ์ปีนป่ายที่ไรรี่ย์ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ
ทำให้ผมสามารถปีนและเกาะกำแพงทุกที่ได้เหมือนสไปเดอร์แมนไม่มีผิด ผมค่อยๆขยับแขนปีนขึ้นไปโดยพยายามทำเวลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่พวกหน่วยซีล
จะมาถึงเมื่อถึงตอนนั้นที่นี่คงจะเละตุ้มเป๊ะจนจำสภาพเดิมไม่ได้แน่ๆ ถึงผมจะอยู่หน่วยซีลเหมือนกันแต่ก็คนล่ะสังกัดกันซึ่งหน่วยงานลับสุดยอดอย่างผมจะเผยร่องรอย
ของตัวเองไม่ได้
ตอนนี้ผมขึ้นมาจนถึงชั้นแรกของแท่นขุดเจาะบริเวณนี้ค่อนข้างมืดมากมีเงามืดมากมายที่ผมสามารถใช้ซ่อนตัวได้ แถมยามในชั้นแรกๆนั้นไม่ค่อยจะชุมเหมือนชั้นถัดๆไป
เสียเท่าไหร่ ผมจึงสามารถย่องผ่านยามพวกนั้นมาได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
พอผมมาถึงที่ทางเดินของชั้นแรกไรรี่ย์ก็รีบติดต่อเข้ามาในทันทีเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
“มิสเตอร์เด็ธ คุณต้องเอาแฟล๊ชไดรฟของคุณไปเสียบที่ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ผมจะได้อัพโหลดไวรัสตัดไฟของที่นั่นคุณจะได้มีเวลาทำอะไรมากขึ้นในความมืด
ห้องควบคุมที่ว่าอยู่ตรงทางเดินชั้นแรกใกล้ๆกับบันใดทางไปชั้นสองนั่นล่ะ”
“ทราบแล้วฉันกำลังไปที่นั่น”
คราวนี้งานของผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนั่นคือการแอบเข้าไปในห้องควบคุมระบบไฟฟ้าของที่นี่ และก็มีปัญหาเล็กน้อยเพราะในห้องนั้นมีไฟเปิดสว่างอยู่แถมยังมียามเฝ้าอยู่
ในห้องนั้นหนึ่งคนด้วย แต่ก็คงไม่เป็นปัญหากับผมเท่าไหร่นักผมค่อยๆแอบเข้าไปใกล้ประตูห้องพร้อมกับแง้มบานประตูออกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ยามในห้องรู้ตัวและ...
ฟุ่บ!
ผมจัดการส่งกระสุนจากปืนเก็บเสียงพุ่งเข้าปลิดชีวิตยามคนนั้นเข้ากลางหัวอย่างจัง เมื่อหมดปัญหาผมก็รีบเข้าไปในห้องโดยไม่ลืมที่จะล๊อกประตูและรีบหาช่องเสียบ
แฟล๊ชไดรฟในทันที
“ไรรี่ย์ฉันเสียบแฟลชเรียบร้อยแล้วกำลังเริ่มอัพโหลดไวรัส”
“รับทราบ ผมกำลังเริ่มแฮ๊กระบบอยู่ขอเวลาสักสามสิบวิ” ไรรี่ย์ตอบผมก่อนจะเริ่มงานของเขาไป
ซึ่งเวลาตอนนี้ผ่านไปได้สี่นาทีเศษๆ เวลาเหลือไม่มากแล้วผมต้องรีบทำภารกิจนี้ให้เสร็จโดยเร็วและต้องลงมือเดี๋ยวนี้แล้วด้วย
“ไรรี่ย์ฉันขึ้นมาถึงชั้นสองของแท่นขุดเจาะแล้ว เตรียมตัวตัดไฟของที่นี่ได้”
“ครับ... ไฟกำลังจะดับใน... สาม... สอง... หนึ่ง...”
วาบ!
พริบตาเดียวไฟที่เคยส่องสว่างให้กับที่นี่ก็พากันพร้อมใจกันดับลง ผมรีบฉวยโอกาสที่ได้มานี้รีบขึ้นไปที่ชั้นสองก่อนจะกดใช้กล้องมองกลางคืนที่ติดพ่วงมากับกล้องโซน่า
พวกยามหลายคนที่ประจำอยู่บนชั้นนี้พากันโวยวายโหวกเหวกหลังจากที่ไฟโดนตัดจนมองอะไรโดยรอบไม่เห็น ไฟฉายติดปืนจำนวนหลายสิบกระบอกส่องไปทางโน้นบ้าง
ทางนี้บ้างเพื่อจะหาตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้
ยามส่วนใหญ่มันจะแยกกันอยู่เลยง่ายต่อการจัดการทีล่ะคนแบบที่ผมต้องการและมันก็ถึงเวลาแล้ว...
“แกสองคนไปเปิดไฟซะที่เหลือค้นหาไอ้ตัวการของเรื่องนี้ ถ้าเจอมันก็ยิงแม่งเลย!”
“แกคิดช้าไปว่ะ...”
เฮือก!
ฉับพลันชะตาชีวิตของหัวหน้าศัตรูก็ต้องจบลงด้วยน้ำมือของผมเมื่อมีดเล่มขนาดเหมาะมือเสียบทะลุผ่านคอหอยอย่างว่องไว โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวว่ามาจากทิศทางไหน
และก็ไม่นานเกินรอนัก เหยื่อรายที่สองและสามก็ถูกจัดการเรียงกันติดๆอย่างเงียบเชียบภายใต้คมมีดของผม
ผ่านไปครู่ใหญ่พวกมันก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้มีแค่พวกมันเท่านั้นแต่ยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย ก็คงเป็นคราวเคราะห์ของผมไปตามระเบียบ
“ใช้อินฟาเรดได้เลยหาตัวมันซะมันต้องอยู่แถวๆนี้ล่ะ!” พวกมันคนหนึ่งเริ่มพูดขึ้นก่อนที่จะเปิดใช้ระบบอินฟาเรดที่ติดกล้องของพวกมันเอาไว้ด้วย
คราวนี้ถ้าพวกมันคิดจะใช้อินฟาเรดหาผมล่ะก็คิดผิดซะแล้วผมรีบล้วงเอาอุปกรณ์แก้ทางขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะนั่นคือระเบิดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ทางกล้องอินฟาเรด
ตูม!
เสียงของระเบิดที่ผมเพิ่งจะขว้างออกไปดังขึ้นก่อนจะทำให้บรรยากาศโดยรอบร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน มันร้อนมากถึงกับทำให้อากาศที่กำลังหนาวอยู่แบบนี้ร้อนเหมือนกับ
อยู่ในทะเลทราย และกับกล้องอินฟาเรดก็เช่นเดียวกันตอนนี้ระบบตรวจจับของกล้องอินฟาเรดคงจะรวดไปหมดแล้วนี่คือโอกาสของผม
ผัวะ!
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
แทบไม่ต้องสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกยามผมรีบใช้โอกาสตอนที่กล้องของพวกมันรวน พุ่งเข้าประชิดและจัดการอัดให้สลบในคราวเดียวอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ยามคนอื่นซึ่งไม่มีกล้องอินฟาเรดก็ได้แต่ยิงสุ่มไปสุ่มมาเผื่อจะมั่วโดนอะไรบ้างแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือยิงโดนพวกเดียวกันหมดที่เหลือก็โวยวายกันดังลั่น
จับต้นชนปลายไม่ถูกกันเป็นทิวแถว
“ทีนี้ก็คงต้องถ่วงเวลาสักระยะสินะ งั้นใช้ไอ้นี่ก็แล้วกัน...” ทีนี้ก็มาถึงไม้เด็ดของผมบ้างแล้ว หนึ่งในอุปกรณ์ที่ผมชอบใช้มากที่สุด
ฟู่!
ควันสีเขียวๆที่ตอนนี้ไม่สามารถมองเห็นท่ามกลางความมืดสนิทได้ปรากฏขึ้นก่อนจะกระจายตัวไปทั่วทั้งบริเวณผมรีบสวมหน้ากากกันแก๊สที่เอามาด้วยขณะที่ควันสีเขียว
นั่นกำลังฟุ้งกระจายไปรอบๆ และพวกยามที่สูดควันสีเขียวนั่นเข้าไปก็พากันล้มระเนระนาดหมดสติแทบจะในทันทีด้วยฤทธิ์ของ ‘แก๊สยาสลบ’ อาวุธก้นหม้อของผม
ยามชุดสุดท้ายโดนจัดการด้วยแก๊สยาสลบไปจนหมดทั้งชุด เท่ากับว่าตอนนี้พื้นที่ทั้งหมดปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว
“หลับไปจนกว่าพวกหน่วยซีลจะมาถึงนะ... เอาล่ะทีนี้ก็...” เมื่อทางโล่งเป้าหมายของผมก็เหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือการช่วยเหลือท่านรองประธานาธิบดี
ที่โดนจับอยู่เท่านั้นและห้องที่ใช้ขังก็อยู่ตรงหน้าผมนี่เองที่เหลือก็แค่
โครม!!
ผมออกแรงทั้งหมดกระแทกประตูเข้าไปแม้ภายในห้องจะมืดมากแต่ด้วยกล้องโซน่าที่ผมใช้งานอยู่ทำให้ผมสามารถมองเห็นภายใต้ความมืดนี่ได้อย่างชัดเจน
และที่อยู่ต่อหน้าผมก็คือท่านรองประธานาธิบดีที่กำลังโดนจับมัดติดกับเก้าอี้และปิดปากกับตาเอาไว้ ผมค่อยๆเข้าไปละใช้มีดในซองตัดเชือกออก
“ไม่เป็นไรนะครับท่านปลอดภัยแล้ว อีกสักครู่จะมีคนมารับรออยู่นี่นะครับ...”
“ขะ... ขอบคุณมากที่มาช่วย... ว่าแต่คุณเป็นใครกัน...”
“ผมตอบไม่ได้ เอาเป็นว่ารออยู่ที่นี่นะครับ...” ผมรีบบอกปัดไปก่อนจะเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งภายในห้องอย่างน้อยกลางความมืดสนิทแบบนี้รองประธานาธิบดีก็คงมองไม่เห็น
หน้าของผมแบบชัดๆ ตอนนี้เป้าหมายของผมก็เสร็จไปอย่างหนึ่งแล้วและที่เหลือก็คือการเก็บรวบรวมข้อมูลเบาะแสของทหารรับจ้างที่ผมเพิ่งจัดการไปพวกนี้
บนโต๊ะนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากปืน กระสุนและอุปกรณ์อื่นๆที่พอจะหาได้ตามท้องตลาด ไม่มีอะไรที่พอจะใช้เป็นเบาะแสในการสืบสาวเรื่องราวทั้งหมดต่อไปได้เลย
เห็นทีว่าครั้งนี้ผมจะมาเสียเที่ยวซะแล้ว
“ไรรี่ย์ ฉันไม่เจอข้อมูลที่พอจะเป็นเบาะแสได้เลยเห็นทีคราวนี้เราคงมาเสียเที่ยวซะแล้ว...”
“ไม่แน่หรอกครับ คุณช่วยเก็บปลอกกระสุนที่ตกอยู่แถวๆนั้นมาหน่อยได้ไหมครับ ผมจะลองหาแหล่งที่มาของมันจากรายชื่อพ่อค้าอาวุธที่เรามี บางทีอาจจะได้ข้อมูล
อะไรเพิ่ม”
“รับทราบ แล้วจะลองเก็บตัวอย่างไป” ผมพูดก่อนจะเริ่มเก็บตัวอย่างปลอกกระสุนที่ตกอยู่ตามพื้นไปจำนวนหนึ่งก่อนจะรีบออกจากห้องทิ้งรองประธานาธิบดีเอาไว้ในนั้น
เมื่อออกมาข้างนอกกล้องโซน่าของผมก็จับการเคลื่อนไหวบางอย่างที่อยู่ไกลออกไปราวๆสามร้อยหลาในทะเลได้
“มิสเตอร์เดธ ตอนนี้หน่วยซีลอยู่ห่างจากพิกัดของคุณทางใต้ไปสามร้อยหลารีบออกมาเร็วเข้า ผมขอแนะนำให้คุณหนีไปที่ทิศเหนือเร็วเข้า!”
“ทราบแล้วกำลังไป เตรียมพาหะนะถอนตัวให้ด้วย”
ผมรับคำก่อนจะรีบวิ่งไปยังทิศเหนือและพุ่งหลาวลงน้ำอย่างรวดเร็วและรีบว่ายออกห่างจากที่นั่นเป็นการด่วน เหมือนทันทีที่ผมหายไปในทะเลพวกหน่วยซีลก็มาถึงที่หมาย
พอดี อยากรู้จริงว่าพวกนั้นจะรู้สึกยังไงที่ภารกิจนี้ถูกสะสางง่ายกว่าที่คิดเอาไว้เพราะผมชิงลงมือก่อนแบบนี้ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ดูซะด้วยสิสิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้คือหาเบาะแส
ของตัวต้นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
***************************************************
ทีนี้ก็มาถึงคำถามของซีลกันบ้างนะครับ
'ในคดีลอบสังหาร เจ เอฟ เคเนดี้ กล่าวกันว่าเป็นคดีลอบสังหารที่ยังคงคลุมเครืออยู่จนปัจจุบันนี้ ได้มีทฤษฎีต่างๆมากมายถึงการลอบสังหารในครั้งนั้นและ
ที่ได้รับการยืนยันจากสาธารณะชนว่ามีคนๆหนึ่งที่ยอมรับว่าเป็นคนลอบสังหาร คนๆนั้นมีชื่อว่าอะไรและปืนที่สันนิฐานว่าเป็นปืนที่ใช้ยิง เคเนดี้คือปืนอะไร'

นี่คือเรื่องที่ผมแต่งขึ้นครับ
CHYO:วีรบุรุษมังกรน้ำแข็งหัวใจผงาดฟ้า
Dead Epidemic วันนรกแตก
Dead Epidemic ภาค2 Biohazard War
S.R.squad กองพันซ่ากองร้อยเพี้ยน