27 เม.ย. 2015, 16:02 โดย itachi-jung
Chapter 2 ---กลับสู่จุดเริ่มต้น---
‘มีอะไรอีกหลายอย่างในโลกที่เรายังไม่รู้และไม่เคยรู้เกี่ยวกับมัน’
ลองย้อนกลับไปประมาณเมื่อหนึ่งปีก่อน ผม ‘โจชัว แคชเลอร์’ ก็ยังเป็นแค่นักศึกษามหาลัยคนหนึ่งที่มีชีวิตปกติสุข มีครอบครัวที่ดีแม้จะไร้พ่อกับแม่ก็ตาม ผมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในเขตเมืองหลวงของประเทศมหาอำนาจอย่างยูเอสซี (U.S.C. = United states of Central) มาตั้งแต่จำความได้ พ่อกับแม่เอาผมและพี่ชายมาฝากป้ากับลุงที่อยู่นี่เลี้ยงเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะหายสาบสูญไปไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย ชีวิตช่างน่าอนาจไม่ต่างจากปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ผิดแต่ผมไม่ได้โชคดีเหมือนเขาตรงที่ว่าโดนแมงมุมกัดแล้วจะกลายเป็นสไปรเดอร์แมน ผมมันก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ไม่มีพลังจะกอบกู้โลก หรือเปลี่ยนแปลงชะตาของตัวเองได้
‘พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง’ ลุงเบน(ในหนัง)เคยได้กล่าวเอาไว้
ฉะนั้น ใครที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ ก็ปล่อยให้มันรับผิดชอบภาระที่ใหญ่ยิ่งไปก็แล้วกัน (ภาษาชาวบ้านคือ กูไม่เกี่ยว)
แต่อาจจะเป็นเพราะนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นของผม บวกกับเชี่ยวชาญเรื่องไม่เข้าท่า ในวันอาทิตย์ที่ท้องฟ้าแจ่มใส ก็มีบางอย่างมาดลใจให้ผมเริ่มปฏิบัติการหาเหาใส่หัวตัวเอง วงจรชีวิตบัดซบเริ่มขึ้นตั้งแต่มีรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกันดีมาขอร้องให้ช่วยหาข้อมูลบางอย่างเพื่อไปสนับสนุนงานวิจัยของเขา ช่วยผลักดันตัวทีซิสให้ผ่านเทอมนี้ไปได้ หัวข้อหลักคือ ‘ปฏิกิริยาการแปรคลื่นสมองของมนุษย์เพื่อเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนวัตถุ’ ช่างเป็นชื่อหัวข้อที่ฟังดูแล้วชวนปวดหัวเป็นบ้า ที่จริงผมก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ อย่างที่บอกไปแต่แรกผมเชี่ยวชาญในเรื่องไม่เข้าท่า จะยกตัวอย่างง่ายๆเช่น การแฮค หรือโจรกรรมข้อมูลอะไรเทือกนั้น พวกรุ่นพี่เลยมาขอร้องให้ผมช่วยไปเอาข้อมูลการวิจัยของสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่กำลังทำการศึกษาเรื่องเดียวกัน มาใช้อ้างอิงในการทำทีซิส และสัญญาเสียดิบดีว่าเสร็จเมื่อไหร่จะลบหลักฐานทั้งหมดทิ้งไม่ให้เหลือ
เพราะความไว้ใจผมเลยช่วย อีกอย่างเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน ผมเอาข้อมูลพวกนั้นมาให้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิด แต่ผลลัพธ์กลับตาลปัตย์ เมื่อถึงวันนำเสนอผลงาน ทางมหาลัยจับได้ว่าเกิดการลอกงานจากสถาบันดังกล่าว จึงจัดการทำทัณฑ์บนพวกรุ่นพี่เอาไว้ และพักการเรียนพวกเขาอย่างไม่มีกำหนด ผมในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด โดนจับได้เพราะมีใครคนหนึ่งในกลุ่มปากโป้งว่าผมเป็นคนเอาข้อมูลพวกนั้นมา แต่ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน พวกเขาจึงได้แค่ตักเตือนและพักการเรียนผมไว้ชั่วคราวจนกว่ากระบวนการตรวจสอบจะเรียบร้อย
‘ตอนนี้ผมก็เลยกลายเป็นนักศึกษาว่างงานที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านไปวันๆก็เท่านั้น’
.
.
.
.
.
.
“ให้ตายเถอะ โจชัว เหลือเชื่อเลยว่าหลานยังหลับอยู่ รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำได้แล้ว วันนี้โจเอลจะกลับมานะ” ป้าลูน่า หญิงวัยกลางคน (แต่หน้าเกือบชรา) เปิดประเด็นบ่นหลานชายตัวแสบในตอนสายของวัน เมื่อขึ้นมาชั้นสองแล้วยังพบว่าโจชัวยังหลับอุตลุดอยู่ในห้องของตัวเอง ผ้าห่มผืนหนาถูกกระชากออกและพับเก็บเข้าที่โดยไม่สนใจถึงความหนาวเหน็บของเด็กหนุ่มเลยสักนิด
“แค่พี่กลับมาไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นเลยนะป้าลูน” โจชัวบ่นทั้งที่ยังงัวเงีย แต่ถึงกระนั้นเขาก็เดินหาวหวอดๆไปเข้าห้องน้ำ จัดการล้างหน้าแปรงฟันและอาบน้ำตามที่หญิงอาวุโสบอก หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินลงมาที่ห้องครัว พบกับลุงเคิร์กกำลังตักแพนเค้กแผ่นโตในกระทะใส่จานให้กับเขา
“ตื่นแล้วหรอโจชัว ทานไอ้นั่นก่อนสิ วันนี้ลุงทำแพนเค้กราดน้ำผึ้งของโปรดหลานให้ด้วยนะ” ลุงเคิร์กเป็นผู้ชายอบอุ่นและใจดี แถมยังเข้าใจวัยรุ่นต่างจากป้าลูน่าราวกับเทวดานางมารร้ายก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าไปรักกันได้ยังไง ตอนเด็กๆเคยถามลุงครั้งนึงแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มแหยๆและเสียงหัวเราะแห้งๆเท่านั้น
“กินเสร็จแล้ว เราจะไปรับโจเอลที่สนามบินกัน” ลุงเคิร์กดูร่าเริงไม่ต่างจากป้าลูน่าที่ดีใจจนหน้าบานเมื่อรู้ว่าหลานชายสุดที่รักอีกคนกำลังจะกลับมาที่บ้าน หลังจากห่างหายไปฝึกทหารที่เมืองอื่นอยู่นานนับปี แหงล่ะ ‘โจเอล แคชเลอร์’ เป็นพี่ชายของเขา ควบตำแหน่งหลานดีเด่นมาตั้งแต่สมัยจำความได้ โจเอลต่างจากโจชัวตรงที่ว่าหมอนั่นเป็นพวกเคร่งกฏระเบียบมากจนน่ารำคาญ(พ่วงด้วยเผด็จการเหมือนฮิตเลอร์) ฉลาด มีไหวพริบมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้ใหญ่ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ตอนที่หมอนั่นเอ่ยปากบอกว่าจะไปสมัครเป็นนักเรียนเตรียมทหารเพื่อจะได้รับใช้ชาติในอนาคต ทุกคนรอบข้างถึงได้เห็นดีเห็นงามกันไปหมด จนกระทั่งตอนนี้ก็เป็นทหารเต็มตัวมาได้สองปีแถมยังได้เลื่อนขั้นเร็วกว่านักเรียนรุ่นเดียวกันเสียอีก
ในสายตาคนอื่น พวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันมาก พอโจเอลกลับมาต่างคนก็ต่างอยู่ พูดกันเท่าที่จำเป็น แต่ใครจะไปรู้ว่าบางทีหมอนั่นก็ชอบทำตัวเหมือนเป็นพ่อของเขาอีกคน มีทั้งบ่นและตามจิกกัดเวลาที่โจชัวกลับบ้านช้า(ยังไม่รวมถึงเสียงบ่นของป้าลูนอีกคนหนึ่งด้วย) นี่เขาสาบานได้เลยนะว่าตัวเองก็อายุยี่สิบสามแล้ว เรียนปริญญาเอกแล้ว ไม่ใช่เด็กง๊องแง๊งอมมือที่ไม่รู้จักวิธีการดูแลตัวเอง
“คงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอก” โจชัวค่อนข้างมั่นใจว่าพี่ชายของเขาก็ยังคงเป็น ‘โจเอล แคชเลอร์’ จอมเผด็จการเหมือนเดิมนั่นแหละ กลับบ้านมางานนี้สงสัยเขาคงโดนลากไปเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ด้วยแหงๆ
“จริงสิโจชัว ตอนเช้ามีจดหมายส่งมาถึงหลานด้วย” เขารับซองมาจากป้าลูน่า เป็นจดหมายของทางมหาลัยเอ็นซีซีที่เขากำลังศึกษาอยู่ส่งมาแจ้งข่าวบางอย่าง โจชัวไม่รอช้าแกะซองออกมาอ่านคร่าวๆ จากนั้นเขาก็พับเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าโจชัว มหาลัยเค้าส่งมาแจ้งเรื่องอะไร” ลุงเคิร์กเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้ต้องพักการเรียนไปเกือบเดือน ไม่แปลกหรอกที่คนในบ้านจะเป็นกังวล กลัวว่าเขาจะโดนไล่ออกก่อนจะเรียนจบอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“เปล่าครับ เค้าเรียกให้ผมกลับไปเรียนตามปกติอาทิตย์หน้า” โจชัวว่านิ่งๆก่อนจะตักแพนเค้กในจานเข้าปาก
“หลานต้องระวังอย่าให้มันเกิดขึ้นอีกนะโจชัว โดนไล่ออกขึ้นมาจะทำยังไง หลานเองก็ใกล้จะจบแล้วด้วย” ป้าลูนเองก็เอ่ยเตือนรอบที่ล้าน เขารู้ดีว่าเรื่องที่ทำไปมันผิดมหันต์ และทางมหาลัยเองก็ยังคงตะขิดตะขวงใจกับตัวเขาอยู่เพียงแต่หาหลักฐานมายืนยันความผิดเขาไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ทำไงได้เรื่องที่มันผิดพลาดไปแล้วจะกลับไปแก้ไขคงจะยาก
“ผมสัญญา โอเคมั้ย จะไม่ทำแล้ว” โจชัวรับปากลวกๆ หวังให้มันแล้วกันไป ถ้าเจอหน้าไอ้รุ่นพี่พวกนั้นเมื่อไหร่ เขาก็อยากต่อยหน้าซักทีให้หายแค้น ข้อหาทำเขาเดือดร้อนไปด้วย
“แล้วเรื่องงานของศาสตราจารย์คาลัน เขาคงไม่ไล่หลานออกจากทีมวิจัยหรอกใช่มั้ย” ป้าลูน่าพูดถึงอาจารย์ในคณะที่หลานชายไปทำงานด้วย
“ไม่รู้สิครับ ถ้าโดนไล่ออก ผมก็ค่อยหาที่ลงใหม่ก็เท่านั้น” โจชัวพูดแบบไม่ใส่ใจนัก อันที่จริงที่เข้าไปขอเป็นผู้ช่วยเพราะโจชัวสนใจหัวข้อวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์ แถมงานที่ทำมีค่าตอบแทนให้ จะได้ไม่ต้องลำบากไปหางานพิเศษอื่นมาแบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่าย อีกอย่างเขาอยากทุ่มเทกับเรื่องเรียนให้เต็มที่มากกว่าต้องเอาเวลาไปลงกับงานที่ไม่ใช่สายของตัวเอง
“หลานพูดเหมือนงานดีๆแบบนี้หาง่ายเลยนะ” ป้าลูน่าแขวะมาอีกหนึ่งครั้ง
“เห็นแบบนี้ผมก็เป็นศิษย์รักนะป้า เขาไม่ไล่ผมออกง่ายๆหรอก” โจชัวโคตรมั่นใจ เขาทำงานกับศาสตราจารย์คารันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี แถมยังทำมาเรื่อยๆจนตอนนี้เรียนเอกแล้ว ระยะเวลาที่นานขนาดนั้นทำให้รู้ว่าอีกคนต้องการงานแบบไหน และเขาเองก็มีความสามารถพอจะเนรมิตสิ่งพวกนั้นให้ได้เพียงแค่ออกคำสั่งมา
“เอาน่าๆ พอได้แล้วทั้งลูน่าทั้งโจชัว รีบๆกินเข้าเดี๋ยวไปสนามบินไม่ทันนะ” สุดท้ายก็เป็นลุงเคิร์กอีกตามเคยที่เข้ามาสงบศึกระหว่างป้าหลาน โจชัวนั่งกินแพนเค้กของโปรดเงียบๆ เช่นเดียวกับป้าลูน่าก็จิบกาแฟโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
หลังจากผ่านเวลาอาหารเช้า โจชัวก็อาสาเป็นคนขับรถพาสองลุงป้าไปสนามบิน พวกเขามาถึงก่อนเวลาเครื่องจะลงเล็กน้อย ป้าลูน่าจึงออกความเห็นให้พวกเราไปนั่งรอที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ระหว่างรอเครื่องดื่มอยู่ที่โต๊ะ โจชัวก็หยิบมือถือขึ้นมาตอบข้อความของเพื่อนที่ทักเข้ามา ชวนเขาให้ไปแฮงค์เอาท์กันคืนนี้ โดยอ้างเหตุผลว่าคิดถึงเพราะไม่ได้เจอหน้ากันเลยที่มหาลัย แต่น่าเสียดายที่ต้องปฏิเสธไปเพราะคืนนี้ป้าลูน่าประกาศเคอร์ฟิวหลังสี่ทุ่ม(แน่นอนว่าหากฝืนกฎ ได้งดเที่ยวเป็นเดือนๆ) โจชัวใช้เวลาว่างคุยเล่นกับเพื่อน แต่จู่ๆก็มีรายชื่อแปลกๆส่งข้อความเข้ามา เด็กหนุ่มไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคงเป็นเบอร์ใหม่ของเพื่อนสักคนที่เขารู้จัก แต่มันไม่ใช่…
Checkmate 047 : นั่งที่เดิม อ่านข้อความไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ต้องพิมพ์ตอบกลับมาด้วยนะ
โจชัวหันขวับและมองไปทั่วร้านทันทีเมื่ออ่านข้อความแรกจบ
Checkmate 047 : ไม่ต้องมองหา เพราะไม่มีทางที่นายจะหาเราเจอ เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลา เข้าเรื่องเลยละกัน งานวิจัยของศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ที่นายไปเอามา เป็นงานที่สำคัญมาก มากจนถึงระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้เลยก็ว่าได้ นายเป็นคนฉลาด ‘โจชัว แคชเลอร์’ นายรู้ว่าไฟล์นั่นเป็นเอกสารลับของทางราชการ หากถูกจับได้มีแต่ตาย และนายก็ต้องถูกไล่ออก อนาคตที่หวังจะเป็นนักวิจัยคงจบเห่แน่ๆ คงไม่มีมหาลัยไหนอยากจะรับนักศึกษาที่มีประวัติเข้าเรียนหรอก ว่างั้นมั้ยล่ะ…
โจชัวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่ส่งข้อความมาหาเขาเป็นใคร ดูจากประโยคที่พิมพ์มาฝ่ายนั้นรู้อะไรมากกว่าที่เขารู้ อีกอย่างหมอนี่ไม่ใช่มือสมัครเล่น การดักจับสัญญาณของเขาล้มเหลว ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ส่งข้อความนี้มาได้ นั่นหมายความว่าทางนั้นเองก็ต้องเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีไม่แพ้กัน ไม่สิ บางทีอาจจะเก่งกว่าโจชัวด้วยซ้ำ
Checkmate 047 : ที่ฉันติดต่อมาหา ไม่ใช่มาขู่ให้นายกลัวหรอกนะ แค่มาเพื่อยืนยันตัวตนของนายตามคำสั่งเท่านั้น เอาล่ะ ทำตามที่ฉันบอกแล้วนายจะปลอดภัย เรื่องพวกนั้นจะไม่รั่วไหลและนายเองก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาปกติเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีผู้ชายแปลกหน้าสามคนกำลังจับตามองนายอยู่ คนที่หนึ่งอยู่นอกร้านตรงสิบสองนาฬิกาหลังป้ายโฆษณาห่างไปประมาณร้อยเมตร คนที่สองอยู่ตรงประตูทางออกที่สิบแปดของผู้โดยสารขาเข้า ส่วนคนที่สามอยู่ในร้านกาแฟ กำลังเข้าแถวซื้อของต่อจากลุงของนายพอดี
Checkmate 047 : นายรู้ตำแหน่งของทั้งสามคนแล้ว ทีนี้ฉันอยากให้นายรับโทรศัพท์ที่ฉันกำลังจะโทรเข้าไป ทำหน้าให้เนียนๆเข้าไว้ล่ะ อย่าได้โวยวายให้พวกมันจับไต๋นายได้ก็แล้วกัน
อ่านข้อความจบเสียงโทรศัพท์ของโจชัวก็ดังขึ้นทันที เขาพยายามรับสายให้เป็นปกติที่สุดและเวลาเดียวกันก็ลอบมองผู้ชายแปลกหน้าที่ต่อแถวซื้อเครื่องดื่มจากลุงของเขา หมอนั่นมีท่าทีปกติ เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่เข้ามาซื้อกาแฟ
“คุณเป็นใคร แล้วนี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?!” โจชัวสบทใส่โทรศัพท์ทันทีเมื่อเขากดรับมัน พยายามกัดฟันพูดเพื่อไม่ให้เสียงดังเกินไป
[[“นี่นายไม่ได้อ่านที่ฉันพิมพ์ไปตอนแรกรึไง โอ๊ย ช่างมันเถอะขี้เกียจอธิบาย เอาเป็นว่าตอนนี้นายรู้แค่ว่าที่ฉันโทรมาเนี่ย เพื่อตัวนายเองล้วนๆเลยนะ”]] ปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์เสียเอามากๆที่เขาสบถใส่ไปในตอนแรกรวมถึงถามในเรื่องที่บอกไปแล้วอีกด้วย
“แล้วจะรู้ได้ไงเล่าว่าเธอจะไม่ได้เป็นเหมือนไอ้พวกนั้น แล้วอีกอย่างนะ…”
[[“ฉันไม่ได้มีเวลามานั่งเลคเชอร์นายเป็นชั่วโมงนะโจชัว รู้แค่ว่าฉันมาอย่างหวังดี และตอนนี้กำลังช่วยนายอยู่ แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอเข้าใจใช่มั้ย”]] เพราะหวาดกลัวและสับสน โจชัวจึงตัดสินใจจะทำตามที่เธอว่า หากมีคนติดตามเขาอยู่อย่างที่บอกจริงๆ คนพวกนั้นคงจะไม่ได้มาแบบเป็นมิตรสักเท่าไหร่แน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ว่ามา” เขาตัดสินใจว่าจะเชื่อเธอ แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักกันเลยก็ตาม
[[“ฉันรู้ว่านายพิมงานวิจัยนั่นออกมาเป็นเอกสารแล้วเก็บไว้ในแลปที่มหาลัยใช่มั้ย งานของนายง่ายมาก ก็แค่….”]]
..
..
..
“โจชัว นี่ของหลาน อเมริกาโน่ใช่มั้ย”ชายหนุ่มเหมือนถูกดึงสติกลับมาหลังจากจดจ่อกับประโยคล่าสุดที่ปลายสายบอกก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป เขามีท่าทีอึกอักอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกมาได้
“ลุงเคิร์ก บอกป้าด้วยว่าผมจะกลับไปให้ทันข้าวเย็น พอดีมีปัญหาที่แลปนิดหน่อย แล้วศาสตราจารย์คารันเลยเรียกตัวผมไปช่วยด่วน ไปนะครับ” โจชัวไม่รอฟังคำตอบของลุงเคิร์ก เขาก็วิ่งออกมาขึ้นแท็กซี่ ตรงไปยังมหาลัยของตัวเองตามที่บุคลลนิรนามนั่นบอกในข้อความ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครไล่ตามเขามาหรือไม่
‘ไปเอางานวิจัยนั่นออกมา แล้วเผามันทิ้งซะ คนพวกนั้นต้องการแค่งานวิจัย ถ้านายชิงทำลายมันก่อนที่คนพวกนั้นจะได้ไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องตามนายอีก’
‘แล้วพวกไฟล์ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ล่ะ ถึงจะเผาเอกสารทิ้งไปแต่ไฟล์มันก็ไม่ได้หายไปด้วยหรอกนะ’
‘เรื่องไฟล์ทางฉันจัดการเก็บไปหมดแล้ว ตอนนี้เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ยังไม่ได้ทำลายมีอยู่ที่นายคนเดียว นายคงจำได้ว่าตัวเองพิมเอกสารออกมาสองชุด ชุดแรกให้พวกรุ่นพี่ไปและแน่นอนว่าพวกเขาเผามันทิ้งเรียบร้อยแล้วหลังจากเสร็จงาน ฉะนั้นชิ้นที่สองที่อยู่กับนายมันเลยกลายเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ อย่าให้พลาดล่ะ’
“ขอบคุณครับ” โจชัวหยิบเงินจำนวนหนึ่งจ่ายไปให้คนขับทันทีที่ถึงหน้าคณะ ขายาวก้าวด้วยความรวดเร็วไปยังห้องแลปที่เขาจำได้ว่าเคยพิมเอกสารพวกนั้นเก็บซ่อนเอาไว้ หากแต่เมื่อมาถึง สภาพของห้องที่คุ้นเคยดีกลับเละเทะไม่เหลือซากเดิม ข้าวของแตกกระจายราวกับมีใครพยายามจะค้นหาอะไรซักอย่าง โจชัวรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่บุคลลนิรนามพูดเป็นเรื่องจริง มีใครบางคนพยายามจะลักลอบเอามันไป
“มันต้องอยู่ที่นี่สิ” โจชัวหยิบลังที่เขาใส่เอกสารออกมาค้นทั้งหมด โชคดีที่มันถูกเก็บไว้ในที่ลับ คนพวกนั้นถึงยังไม่ได้ค้นหามันและก็ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี ถ้าจำไม่ผิดแฟ้มนั่นเขาแอบเก็บมันรวมเข้ากับงานวิจัยของศาสตราจารย์คารันเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาค้นมันเจอ
“หาอะไรอยู่งั้นหรอ” เสียงเข้มของใครคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับจ่อบางอย่างเข้าที่หลังของโจชัว
“ไอ้นี่ใช่มั้ยที่นายกำลังหาอยู่” แฟ้มสีน้ำเงินที่ชายหนุ่มจำได้ดีว่าใส่เอกสารงานวิจัยพวกนั้นเอาไว้ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับบุคคลปริศนาที่สวมหน้ากากกันแก๊ซ หมัดตรงลุ่นๆปะทะเข้าที่หัวของโจชัวเข้าอย่างจัง ตามมาด้วยแรงกระแทกจากของแข็งบางอย่างเข้าที่ท้ายทอยจนสติของเขาแทบหลุด
“เอาตัวเขาไปด้วย…” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่โจชัวได้ยิน ก่อนที่โลกนี้จะมืดลง
ฝากติชมด้วยนะคะ ^^